โดย Millionhead ในวันที่ 14 ม.ค. 2563, 16:33 น.
5 ขั้นตอน Mixing ง่ายๆ ที่เราต้องรู้
สวัสดีครับ ผม จั๋งดุ๋ง คนเดิม คนดี คนเดียว พบกันอีกครั้งนะครับ ครั้งนี้เรามีเกร็ดความรู้ดีๆ เกี่ยวกับการทำเพลง การ Mix เสียง เบื้องต้นมาฝากทุกท่าน
หลักในการทำเพลงหนึ่งเพลงนั้น จะมีขั้นตอนหลักๆ อยู่ 3 ขั้นตอนด้วยกัน ดังนี้
1.Tracking
คือการ Edit เสียง กล่าวคือการอัดเสียงเข้าสู่ Daw ไม่ว่าจะเป็นการร้องหรือการอัดเครื่องดนตรีต่างๆ นั่นเอง
2.Mixing
คือ การปรุงเเต่งเสียงที่เราอัดเข้าสุ่ Daw
3.Mastering
คือการใช้ Plugin ประเภท Dynamic เพื่อทำให้เสียงที่เราบันทึก และทำการ Mix ที่เรียบร้อยแล้ว มีความดังเบา Balance กัน และมีความดังเท่ากับเพลงทั่วไป
โดยบทความนี้ จั๋งดุ๋ง จะมาพูดถึง การ Mixing กันครับ
การ Mix เสียงคืออะไร ? ทำไมต้อง MIX เสียง ?
เป็นคำถามที่เชื่อว่าหลายท่านก็อาจจะสงสัยกันนะครับ ว่าทำไมเมื่อเราบันทึกเสียงหรืออัดเสียงเครื่องดนตรีต่างๆ แล้วจำเป็นด้วยหรือไม่ที่ต้องมา Mix เพิ่มเติม
ให้เสียเวลา ทั้งๆ ที่ก็สามารถปรับหน้าตู้ หรือใส่ Preset ที่มีมาให้ไปเลยก็ได้
นั่นเเหละครับในทางปฏิบัติแล้วเราไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ แต่!! สิ่งที่จะขาดหายไปในเพลงก็คือ มิติ รวมไปถึงภาพรวมของความ Balance และ Dynamic ที่สูญเสียไป ทำให้เสียงที่เราอัดมานั้นดูไร้มิติ ถ้าจะให้เห็นภาพก็คือ เหมือนเราทำกับข้าวสักอย่างนึงนั่นแหละครับ การที่เรานำวัตถุดิบมาใส่รวมกันเฉยๆ มันอาจจะทำให้อาหารจานนั้นดูน่ากิน แต่มันไม่สามารถทำให้ควายอร่อยเพิ่มขึ้นได้ ก็เช่นเดียวกันกับการ Mix เสียง ก็คือการเพิ่มความหอมหวานรสสัมผัสที่ละมุนละไมให้กับเสียงที่เราบันทึกมาครับ ทำให้เสียงน่าฟังและดูมีอะไรมากกว่าการนำเสียงมารวมกันอย่างเดียว โดยไม่มีการปรุงเเต่ง
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นการมิกเสียงทำให้เสียงของเรามีความไพเราะ เเละน่าฟังมากยิ่งขึ้น แต่เราควรทำอย่างไรและควรเริ่มจากตรงจุดไหน จึงจะได้เสียงที่ดีออกมา
ซึ่งในการ Mix เบื้องต้น จะมีอยู่ 5 ขั้นตอนด้วยกัน คือ
1. Balance
แยกออกมาเป็นสองขั้นตอนหลักๆ ด้วยกัน คือ
1.1 Level
การกำหนดค่าความดังเบาของเสียงที่เข้ามาสู่ Daw ทำให้เสียงมีความ Balance
1.2 Pan
การ Pan หรือการกำหนดฝั่งหรือทิศทางของเสียง ซ้ายหรือขวา เพื่อให้เสียงมีความ Balance และกลมกลืนกันมากขึ้น
2. EQ
EQ คืออะไร ?
EQ หรือ Equalizer เป็นเครื่องมือที่ใช้เพิ่มหรือลดระดับเสียง ทุ้ม กลาง แหลม ตามย่านความถี่ (Frequency) ในแต่ละช่วงตามความต้องการ ชดเชยความถี่เสียงที่ขาดหายไป หรือ ลดความถี่เสียงที่ดังเกินไป โดย EQ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้้
1. Graphic Equalizer
EQ ประเภทแรกออกแบบมาเพื่อให้เพิ่ม หรือลดย่านความถี่เฉพาะตามที่ผู้ออกแบบกำหนดมาจากโรงงาน โดยจะระบุตัวเลขในแต่ละความถี่ไว้ที่ตัวปรับความถี่แต่ละตัว หากต้องการที่จะปรับแต่งเสียง สามารถเลือกปรับเสียงได้เฉพาะความถี่นั้น ๆ
2. Parametric Equalizer
EQ ประเภทนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถเลื่อนหาย่านความถี่ได้อย่างอิสระ ผู้ใช้งานสามารถกำหนดย่านความถี่ด้วยตัวเอง โดยการปรับความถี่ดังกล่าวจะทำให้ย่านความถี่ใกล้เคียงได้รับผลไปด้วย ใน Parametric Equalizer หนึ่งตัวอาจปรับค่าความถี่พร้อมๆ กันได้หลายความถี่ ซึ่งเรามักจะพบอุปกรณ์ดังต่อไปนี้ใน Parametric Equalizer
- Band (Bandwidth) : ช่วงความถี่ของคลื่น ใน EQ หนึ่งชุดสามารถมีได้หลาย Band
- Frequency : ตำแหน่งความถี่ที่ต้องการปรับแต่ง มีหน่วยเป็น Hz
- Q : ค่ากำหนดความกว้างของช่วงความถี่เสียง
- Gain : ค่าความดังของถวามถี่นั้นๆ สามารถเพิ่ม หรือลดตามความเหมาะสม
ความแตกต่างของ EQ ทั้งสองแบบ ต่างกันที่ Graphic Equalizer ถูกกำหนดย่านความถี่ตายตัวมาจากโรงงาน ผู้ใช้งานมีหน้าที่เพิ่มหรือลด Gain ของย่านความถี่นั้นๆ ตามความเหมาะสม แต่ Parametric Equalizer เป็น EQ ที่สามารถเลื่อนหาย่านความถี่ได้อย่างอิสระ สามารถกำหนดย่านความถี่ได้ด้วยตนเอง ซึ่งสามารถทำได้ละเอียดกว่า
3. Compresser
Compress คืออะไร ?
อุปกรณ์ชนิดหนึ่งซึ่งมีหน้าที่ จัดการควบคุมระดับของสัญญาณเสียง เมื่อก่อน Sound Engineer นิยมใช้เพื่อควบคุมความดังเบา แต่ในปัจจุบัน นิยมใช้เพื่อให้เสียงนั้นแน่นและมีพลังมากขึ้น ซึ่งความหมายก็ตรงตัว การ Compress คือการ บีบอัด หรือ กดสัญญาณเสียง อธิบายคือ เวลาที่สัญญาณเสียงที่เข้ามาเกินกว่าระดับที่เราตั้งเอาไว้ Compress จะทำการกดสัญญาณลงมาให้อยู่ในระดับที่ตั้งไว้ ส่วนเสียงที่ไม่เกินกว่าระดับที่ตั้งไว้ Compress จะปล่อยออกไปตามปกติ สรุปคือหน้าที่ของ Compressor คือ ทำให้ระดับสัญญาณเสียงที่เบา กับระดับเสียงที่ดัง ไม่ให้เกิดระยะห่างแตกต่างมากเกินไป
4. Reverb
ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ Reverb ก็เหมือนการที่เราได้ยินเสียงตัวเองเวลาร้องเพลงในห้องน้ำนั่นแหละครับ โดย Reverb เป็นอีกหนึ่ง์ Effect มาตรฐานที่ดิจิตอลมิกเซอร์เกือบทุกยี่ห้อมีมาให้ ส่วนใหญ่จะนิยมใช้กับเครื่องดนตรีหลายๆ ประเภท เช่น เสียงร้อง กีตาร์ กลอง คีย์บอร์ด และอื่นๆ เราลองมาศึกษาหลักการคร่าวๆ ดูครับ Reverb มันเป็นเสียงที่รักษาสภาพเสียงจากแหล่งกำเนิดไว้ แม้ว่าเสียงจากแหล่งกำเนิดจะสิ้นสุดไปแล้วก็ตาม เช่นเราพูดว่า "หนึ่ง" แม้เราหยุดพูดคำว่า "หนึ่ง" ไปแล้ว แต่เรารับรู้ได้ว่ามันยังมีเสียงหนึ่งตามมาหรือค้างอยู่ จะค้างมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่เราพูดอยู่ในขณะนั้นๆ หรือแหล่งกำเนิดเสียงนั้นถูกปล่อยออกมา เรานิยมเรียกเสียงนี้ว่า เสียงก้อง เสียงทุกเสียงจะมีคาแร็กเตอร์ของมัน เพราะปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดคาแร็กเตอร์เสียงที่มีส่วนสำคัญยิ่งคือ ค่าความก้อง นี่แหละ ถ้าเราไปพูดคำว่า "หนึ่ง" ที่สยามสแควร์จะได้โทนแบบหนึ่ง ไปพูดในโบสถ์ย่านดินแดง จะได้โทนเสียงแบบหนึ่ง พูดที่ห้องสมุดแห่งชาติจะได้โทนเสียงอีกแบบ ไปพูดที่สนามกีฬาฯแห่งชาติก็จะได้โทนเสียงอีกแบบ ฉะนั้น Reverb ถึงถูกใช้งานอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นงานมิกซ์เสียง งานบันทึกเสียง เพราะสามารถใช้ได้กับทุกเครื่องดนตรี เสียงร้อง หรือเสียงที่เราต้องการให้เป็นธรรมชาติของสถานที่แห่งนั้น
5. Delay
คือ การเพิ่มมิติของเสียงให้ไม่แบนแห้งจนเกินไป โดย Delay จะทำให้หางเสียงของเสียงนั้นๆดังวนเป็นจังหวะไปเรื่อย ๆทำให้เสียงดูมีอิสระ เเละมีความน่าฟังมากยิ่งขึ้น
โดยเราสามารถกำหนดค่าของ Delay ให้วนต่อเนื่องไปมากแค่ไหน เเละมีความดังเเค่ไหนได้จาก Plugin เลยครับ
นี่ก็เป็นเทคนิคการ Mixing ง่ายๆแบบเบื้องต้นนะครับ ส่วนลูกค้าเเละท่านผู้ชมท่านไหนสนใจข้อมูลเพิ่มเติมก็สามารถติดต่อหรือสอบถามเราร้าน
Millionhead Pro-Audio ได้เลย ทางเรายินดีให้คำแนะนำกับทุกๆท่านครับ
และสุดท้ายนี้ จั๋งดุ๋งก็หวังว่าข้อมูลดีๆ ที่ได้มาเล่าสู่กันฟังนี้จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยแก่ท่านผู้ชมทุกๆท่านนะครับ ก็ขอลาไปก่อนพบกันใหม่คราวหน้าจะมีบทความดีๆอะไรมานำเสนอก็ฝากติดตามกันด้วยนะครับ สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ เจอกัน
Cr.JungDung
Line@ | : @millionheadpro |
: millionheadpro | |
: millionheadpro |