บทความ

5 ขั้นตอน ในการ Edit เสียงร้องก่อนมิกส์แบบขั้นเทพ

โดย Millionhead ในวันที่ 26 ธ.ค. 2563, 18:30 น.

image

วันนี้แอดจะมาบอกเทคนิคในการ Edit กัน เผื่อเพื่อนๆคนไหนสนใจหรืออยากลองปรับนำไปใช้ สามารถจัดได้เลยนะจ๊ะ

สิ่งแรกหลังจากการอัดเสียงร้องของเราคือการเลือกเทคที่อารมณ์ของเสียงร้องนั้นเข้ากับเพลงมากที่สุด การออกเสียงไม่ชัดหรือร้องเพี้ยนนั้นสามารถแก้ไขกันได้ แต่อารมณ์และโทนเสียงไม่สามารถแก้ได้ ดังนั้นหลังอัดเสร็จหรือก่อน Edit เสียง ให้เราเลือกใช้เทคที่อารมณ์ของเสียงร้องที่ดีที่สุด

หลังจากที่เลือกเทคที่ดีที่สุดแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการทำให้เสียงร้องตรงกับจังหวะเพลงหรือเข้ากับ Tempo ของเพลง เวลาทำขั้นตอนนี้แนะนำให้เปิด Metronome และ Grid Mode (Bar/Beat) ไปด้วยเพื่อการ Edit ที่แม่นยำมากขึ้น

เวลาท่อนร้องขึ้นหรือลงไม่ตรงจังวะ ให้เราทำการตัดที่ Transient ของคำนั้นแล้วเลื่อนให้เข้ากับ Grid ของบาร์หรือบีทนั้น การเลื่อนคำนึงอาจทำให้ทั้งท่อนจังวะเพี้ยนไปได้ดังนั้นเราควรจะ Edit ทุกคำในท่อนให้ขึ้นและลงตามจังหวะ Tempo ( บางคนอาจจะไม่ edit ให้ตรง Tempo เป๊ะๆร้อยเปอร์เซนต์ เพื่อที่จะให้รู้สึกถึงความเป็นธรรมชาติของนักร้อง ) หลังจากทำการตัดและต่อ Clip Track ให้เรา Cross-fade ตรงรอยต่อระหว่าง Clip Track เพื่อป้องกันการ Clip ของเสียง หากไม่มั่นใจให้ซูมเข้าไปที่ Waveform แล้วเชื่อม Cycle ของ Sine Wave และ Cross-fade ** เพิ่มเติมคือเสียงหายใจก็ควร Edit ให้ตรงกับเสียงร้องเพื่อเพิ่มความเป็นธรรมชาติ**

กรณีพิเศษที่เสียงร้องสองคำติดกันทำให้ไม่สามารถตัดระหว่างคำได้ ดังนั้นเราต้องใช้ฟังก์ชันของโปรแกรมของเราในการช่วยเลื่อนคำ ยกตัวอย่างเช่น Flex Mode (Time) ใน Logic Pro X หรือ Elastic Time ใน Pro-Tools ซึ่งการใช้งานของแต่ละโปรแกรมจะแตกต่างกันออกไปแต่ฟังก์ชันจะคล้ายกันโดยการวาง Marker ไปที่ Transient ของคำนั้นแล้วเลื่อนให้ตรงกับ Grid ข้อเสียของฟังก์ชันนี้คือมันจะเป็นการยืดหรือย่นคำไม่ใช่การเลื่อนคำจึงทำให้ไฟล์เสียงมีการถูกดัดแปลง ดังนั้นถ้าหากคำสองคำห่างกันเกินไปให้ใช้วิธีแรกในการ Edit แบบ Manual แล้วใช้ฟังก์ชัน Flex Time หรือ Elastic Time ในการช่วยกับคำที่ติดกันเกินไปและไม่ได้หลุดจากจังหวะมากจนเกินไป หลังจากนั้นให้เช็คอีกทีว่ามีตรงรอยตัดระหว่าง Clip Track ตรงไหนที่ยังไม่ได้ Cross-fade หากรอยตัดทุกจุดถูก Cross-fade เรียบร้อยให้เราทำการ Consolidate Clip หรือ Bounce ออกมาเป็น Clip Track อันเดียวเพื่อที่จะไปขั้นตอน Edit อันต่อไป

Sibilance คือเสียงตัว s z หรือ ส ซ ส่วน Plosive คือเสียงตัว p หรือ พ บ และเสียงที่กระแทกแรงๆอย่างเช่นตัว d k ด หรือ ค เป็นต้น เสียงเหล่านี้อาจจะฟังดูปกติและไม่ได้รบกวนแต่อย่างใด แต่หากมาถึงขั้นตอนการมิกซ์เสียงเหล่านี้จะดังขึ้นและจะรบกวนเป็นอย่างมาก


วิธี Edit คือการตัดแค่เสียง Sibilance หรือ Plosive และลด Gain ลงโดยการใช้ Clip Gain ไม่ใช่ลดที่ตัว Fader หรือใส่ปลั๊กอิน Gain ของ Track ซึ่งทุกโปรแกรมอัดเสียงจะมีฟังก์ชันนี้อยู่ในตัว ยกตัวอย่างเช่น Clip Gain ใน Pro-Tools จะอยู่บนตัว Clip Track ส่วนของ Logic Pro X จะอยู่ใต้ “Region” ข้างบน Channel Strip ที่มีชื่อว่า “Gain” หลังจากนั้นให้ทำการ Cross-fade ที่รอยตัดระหว่าง Clip Track และ Consolidate (Bounce Track) ให้เป็น Clip Track อันเดียว แบบนี้คือการ Edit แบบ Manual ซึ่งจะทำให้เสียงเป็นธรรมชาติมากขึ้นเพราะเราเจาะจง Edit แค่สระหรือคำๆเดียว

ส่วนอีกวิธีคือการใช้ปลั๊กอิน เช่น De-esser ทำหน้าที่ลดเสียง Sibilance เหมือนกันแต่ตัวปลั๊กอินจะกดทุกๆคำหรือเสียงในย่านที่เราเลือก ยกตัวอย่างเช่นมีเสียง Sibilance เกิดขึ้นที่ย่าน 5000Hz แทนที่คำๆเดียวจะโดนกด แต่ทั้งท่อนหรือทั้งประโยคในย่าน 5000Hz ก็จะโดนกดไปด้วย แนะนำให้ Edit แบบ Manual ก่อนที่จะใส่ปลั๊กอิน De-esser เพื่อที่จะใช้ปลั๊กอินได้เต็มที่และไม่กดเนื้อเสียงของเราจนเกินไป

ขั้นตอนที่ 4 คือการ Automate เสียงร้องของเรา โดยอย่างการใช้งาน Volume Automation บนเสียงร้องนั้นมีจุดประสงค์อยู่สองข้อ ข้อแรกคือการ Automate ให้เสียงร้องมี Volume ที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งการ Edit ขั้นตอนนี้ก็เหมือนกับการใช้ Compressor นั้นเอง แต่เป็นวิธีแบบ Manual แนะนำให้ Automate Volume ก่อนที่จะใช้ Compressor เพื่อที่จะทำให้เสียงฟังดูเสถียรและธรรมชาติมากขึ้น โดยเราจะหาคำที่เบาเกินไปแล้วเพิ่ม Gain ตรงจุดนั้นหรือคำไหนที่ดังเกินไปก็สามารถลดได้เช่นกัน


ข้อที่สองคือการเน้นให้เสียงร้องชัดขึ้นโดยการ Automate ให้ Volume ของคำนั้นดังขึ้น ตามหลักการคือเสียงที่ดังจะชัดและอยู่ข้างหน้า คำในท่อนไหนที่เบาหรือไม่ชัดให้ Automate ให้มันดังขึ้น หรือว่าถ้าเราอยากจะเน้นประโยคท่อนไหนให้เด่นขึ้นก็สามารถทำได้เช่นกัน

ข้อสุดท้ายของการ Edit เสียงร้องคือการจูนให้เสียงร้องตรงกับคีย์โดยที่ฟังดูธรรมชาติที่สุด หลังจากนั้นในขั้นตอนมิกซ์ เราสามารถจูนเสียงเพิ่มได้ตามใจชอบ สิ่งที่สำคัญที่สุดในการจูนเสียงร้องคือการทำให้เสียงร้องฟังดูธรรมชาติที่สุด ควรจูนเสียงร้องทีละคำ ทั้งหางเสียง,หัวเสียงและเนื้อเสียง เพราะบางคำอาจจะไม่ได้เพี้ยนมากจนเกินไปแต่หากตั้งค่าหรือใช้จำนวนการจูนอันเดียวกันกับคำที่เพี้ยน เสียงร้องบางคำอาจะฟังดูไม่ธรรมชาติ เพิ่มเติมคือเราไม่ควรจูนเสียงลมหายใจเพราะโน้ตมันจะมั่วไปหมด หลังจากทำ 5 ขั้นตอนนี้แล้วเราสามารถส่งให้คนมิกซ์เริ่มขึ้นตอนการมิกซ์ได้เลย

สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่

Line@ : @millionheadpro
Facebook : millionheadpro
Instagram : millionheadpro