รีวิวสินค้า

MIdiplus : STUDIO M และ STUDIO 2 อีกหนึ่งแบรนด์ใหม่ที่หน้าจับตามอง พร้อมคุณภาพที่จะทำให้แบรนด์อื่นๆหนาวไปตามๆกัน

โดย Millionhead ในวันที่ 12 ส.ค. 2560, 11:36 น.

image

MIdiplus : STUDIO M และ STUDIO 2 อีกหนึ่ง Audio Interface แบรนด์ใหม่ที่หน้าจับตาพร้อมคุณภาพที่จะทำให้แบรนด์อื่นๆหนาวไปตามๆกัน

กราบสวัสดีพ่อแม่พี่น้องชาว Millionhead ทุกท่าน วันนี้ก็กลับมาอีกครั้งกับการแนะนำสินค้าดีๆที่น่าสนใจเช่นเคย สำหรับวันนี้ผมมี Audio Interface มาแนะนำกัน โดยมันมีความละเอียดสูงถึง 24bit/192kHz ซึ่งถือเป็นค่าความละเอียดมาตรฐานของงานบันทึกเสียงทั้งหมดของยุคนี้เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังใช้งานง่ายไม่ซับซ้อน พร้อมฟังชั่นและลูกเล่นต่างๆมากมาย นอกจากนี้วัสดุมีความแข็งแรงทนทานหายห่วง แต่!! ราคานี่สิครับ มันช่างเป็นมิตรกับกระเป๋าของเราๆทุกท่านเป็นอย่างยิ่ง ว่าแล้วก็มาลุยกันเลยดีกว่าครับ กับ MIdiplus : STUDIO M/2

การที่หลายๆครั้งผมต้องทำการแนะนำเจ้าตัว Midiplus นี้ตลอดเวลาที่มีลูกค้าเข้ามาถาม คำถามส่วนใหญ่จะถามว่า ยี่ห้ออะไร ทำไมถูกจัง? มันจะดีจริงๆหรอ? มันจะทนมั้ย มีปัญหาบ่อยรึเปล่า? ซึ่งผมก็ไม่แปลก เพราะแบรนด์ Midiplus นั้นเพิ่งเข้ามาในไทยได้เพียงไม่กี่ปีมานี้เอง ทำให้ชื่อเสียงต่างๆ อาจจะไม่เท่าเหล่าค่ายยักษ์ใหญ่จากยุโรปและอเมริกา แต่วันนี้ผมจะขอแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จักกับแบรนด์ Midiplus กันอย่างละเอียดกัน  จะได้เห็นภาพว่าบริษัทนี้มีดียังไง

ในอดีตนั้น Midiplus นั้นเริ่มต้นมาจากบริษัทในครอบครัวที่ชื่อว่า “Ta Horng Wood Enterprise&Musical Instrument Co,.Ltd”  ซึ่งตั้งอยู่ที่ประเทศไต้หวัน ซึ่งการเริ่มต้นของบริษัทนี้ก็เริ่มจากการผลิตคีย์บอร์ดให้กับแบรนด์ชื่อ “Plum Blossom” ซึ่งได้รับความนิยมภายในไต้หวันเองเป็นอย่างดี แต่นั่นมันก็ตั้งแต่เมื่อปี 1977 มาแล้ว ต่อมาในปี 1996 ซึ่งเป็นช่วงที่ MIDI Keyboard เพิ่งได้รับการพัฒนาและผลิตออกมาจำหน่ายเป็นยุคแรกๆและได้รับความนิยมไปทั่วโลก บวกกับความสำเร็จจากการผลิตคีย์บอร์ดสำหรับตลาดภายในประเทศที่ผ่านๆมาของ Ta Horng Wood Enterprise ทำให้ M-Audio บริษัทที่มีชื่อเสียงในเรื่องอุปกรณ์สตูดิโอชั้นนำต่างๆ เลือกใช้โรงงานของ Ta Horng Wood Enterprise เป็นฐานการผลิตของ M-Audio ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

เมื่อเวลาผ่านมาถึงปี 2005 ก็ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้น เมื่อ Avid บริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการอุปกรณ์สตูดิโอ ได้ทำการซื้อแบรนด์ M-Audio ด้วยมูลค่ากว่า 80 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Ta Horng Wood Enterprise จึงตัดสินสร้างแบรนด์ Midiplus ขึ้นมาเป็นของตนเอง โดยพวกเขาได้เริ่มจาก MIDI Keyboard ซึ่งตัวเองมีความถนัดออกก่อนในปี 2009 ซึ่งรับการตอบรับในเรื่องของทั้งคุณภาพและราคาเป็นอย่างดี ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีผู้ใช้จากทั้งยุโรปและอเมริกา นับจากนั้นเป็นต้นมา Midiplus ก็ได้ออกอุปกรณ์ต่างๆออกมาเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะทั้ง MIDI Keyboard ตระกูล X Series ลำโพง Monitor ตระกูล MS รวมทั้งอินเตอร์เฟสที่เราจะนำมารีวิวกันในวันนี้นั่นเอง ซึ่งอินเตอร์เฟสที่ผมจะรีวิวในวันนี้มีอยู่สองตัวนะครับ ตัวแรกมีชื่อว่า Midiplus : STUDIO M ส่วนอีกตัวมีชื่อว่า Midiplus : STUDIO 2 ทั้งสองรุ่นจะต่างกันยังไง เสียงสู้แบรนด์ใหญ่ๆได้จริงหรือไม่ เชิญติดตามกันต่อได้เลยครับ !

MIdiplus : STUDIO M
เป็นอินเตอร์เฟสขนาด 1 In / 2 Out ความละเอียดอยู่ที่ 24bit/192kHz ตามมาตรฐานของอินเตอร์เฟสยุคใหม่ ในส่วนของด้านหน้าประกอบ ช่อง Input สำหรับเสียบสายสัญญาณนั่นเอง ซึ่งเป็นช่องเสียบแบบ Combo Input ซึ่งสามารถเสียบได้ทั้งสายไมค์สามขาหรือที่เรียกว่า XLR และสายแจ๊คกีต้าร์ทั่วไปหรือที่เรียกๆกันว่า TRS นั่นเอง ต่อมาก็เป็นปุ่มสำหรับปรับ Gain ซึ่งจะมีไฟกะพริบด้วยเวลาที่สัญญาณเข้า ซึ่งถ้าสัญญาณปกติดีก็จะกระพริบเป็นสีเขียว แต่ถ้ากระพริบเป็นสีแดงเมื่อไหร่ แนะนำให้รีบลด Gain ทันทีเพราะนั่นเป็นสัญญาณว่าสัญญาณ Peak เกินไปนะครับ ต่อมาเป็นปุ่มสำปรับเลือกระหว่าง Line กับ Instrument ซึ่งการใช้งานก็เพียงแค่กดปุ่มแล้วจะมีไฟสีเหลืองๆส้มๆติดขึ้นมา เป็นสัญญาณว่าเราได้เปิดโหมด Instrument ซึ่งเราจะกดปุ่มนี้ก็ต่อเมื่อเราเชื่อมต่อกับเครื่องดนตรี เช่น กีต้าร์ไฟฟ้า เท่านั้น แต่ถ้าคุณใช้ไมโครโฟน ก็ไม่ต้องกดนะครับ ต่อมาก็เป็นปุ่มสำหรับเปิดไฟ 48v สำหรับจ่ายไฟให้ไมโครโฟน Condenser ส่วนต่อมาจะเป็นไฟแสดงผลระดับสัญญาณ และสุดท้าย ปุ่มสำหรับปรับ Volume ของ Headphone และ Monitor นั่นเอง

ในส่วนของด้านหลัง ก็จะมีช่อง Output แบบ TRS สองช่องสำหรับต่อกับลำโพงมอนิเตอร์ ช่องสำหรับเสียบ Headphone และช่อง M-Remote สำหรับเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมของ Midiplus เอง และช่องสำหรับเสียบสาย USB เชื่อต่อกับคอมพิวเตอร์นั่นเอง

ในส่วนของวัสดุ ต้องบอกเลยว่าตัวอินเตอร์เฟสนั้นทำมาจากเหล็ก มีความแข็งแรง ทนทาน ตกไม่น่าจะแตก แต่แนะนำว่าอย่าลองเลยครับ ไม่ดี ด้านในกล่องมาพร้อมกับคู่มือการเซ็ทอัพอย่างคร่าวๆ, สติ๊กเกอร์ Midiplus, สาย USB, หัวแปลงจาก 3.5 ไปเป็น Phone แจ๊ค เท่านั้นยังไม่พอ Midiplus ยังแถมโปรแกรม DAW หรือที่เรียกกันบ้านๆว่าโปรแกรมทำเพลงอีกด้วย มีชื่อว่า Bitwig 8-Track ซึ่งจะมีคู่มือสำหรับการลงทะเบียนและโค้ดสำหรับดาวน์โหลดอยู่ภายในกล่องนั่นเอง

หลังจากที่ได้ทดลองบันทึกเสียงกับเจ้า STUDIO M เป็นเวลาซักพักก็ต้องบอกเลยว่า ซาวด์ที่ได้มีคุณภาพสูงจริง ด้วยความละเอียดถึง 24bit/192kHz ทำให้ได้ซาวด์ที่คมชัด Pre Mic ค่อนข้างเงียบ แต่ด้วยจำนวน Input ที่น้อยไปหน่อยทำให้ใช้งานได้ค่อนข้างจำกัด ในส่วนของแคแรคเตอร์ของซาวด์นั้นค่อนข้างออกโทนกลางๆ ไม่ใสแหลมจนบาดหูหรือไม่อู้ๆทึบๆ จนเกินไป ซาวไม่ถึงกับอุ่นหรือเนื้อแน่นปั่ก แต่ก็มีน้ำหนักที่โอเค ไม่ดูปลอม ไม่ดูกลวง ซึ่งต้องบอกเลยว่าใครที่มองข้ามมันไป ต้องเสียใจในภายหลัง(นิดๆ)แน่นอนทีเดียว 

MIdiplus : STUDIO 2
มาถึงเจ้าตัวถัดมา ซึ่งเป็นตัวที่สร้างความปั่นป่วนเป็นอย่างมากให้กับแวดวงอินเตอร์เฟสในช่วงระยะหลังที่ผ่านมา เนื่องจากราคาและคุณภาพของมันนั่นเอง สำหรับเจ้า STUDIO 2 นั้น มี 2 Input และ 2 Output ในภาคของ Input นั้นเป็นแบบ Combo Input ที่สามารถเสียบได้ทั้งหัวแจ๊คเบบ XLR และ TRS มีปุ่ม Gain และปุ่มสวิทช์ Line/Inst แยกกันในแต่ละแชนแนล มีปุ่ม 48V สำหรับเปิดไฟเลี้ยง ปุ่ม Monitor Volume, ปุ่ม Input Playback/Direct Monitor ซึ่งปุ่มนี้จะทำหน้าที่ปรับความดังเบาของ Input และ Output เช่น ถ้าคุณหมุนปุ่มไปทางซ้ายจนสุด คุณจะสามารถได้ยินเสียงของตัวคุณแบบ Real-Time ระหว่างอัด แต่คุณจะไม่สามารถฟังเสียงที่อัดไว้แล้วได้ แต่ในทางกลับกัน ถ้าคุณหมุนไปทางขวาจนสุดคุณจะสามารถฟังเสียงที่อัดไว้แล้วได้ แต่จะไม่สามารถได้ยินเสียงตัวเองระหว่างอัดได้นั่นเอง ปุ่มต่อมาเป็นปุ่ม Stereo/Mono ในรุ่น STUDIO 2 นั้นได้มีการแยกไลน์ในส่วนของ Input มาให้ นั่นก็คือ ถ้าคุณเสียบไมค์ไปที่ Input ฝั่งซ้าย เสียงไมค์ก็จะออกทางลำโพงซ้าย หรือหูฟังด้านซ้ายเพียงอย่างเดียว ถ้าเสียบช่องขวาก็จะดังข้างขวาข้างเดียวเช่นเดียวกัน แต่ถ้าคุณกดปุ่ม Stereo/Mono ตัวนี้ จะทำให้เสียงทั้งหมดมาอยู่ตรงกลาง ไม่มีการแยกซ้ายขวาอีกต่อไป โดยส่วนตัวคิดว่าปุ่มนี้น่าจะออกแบบมาสำหรับเพื่อบันทึกเสียงคีบอร์ดไฟฟ้าที่ Output แยกมาเป็นซ้ายขวาอยู่แล้วนั่นเอง และแล้วก็มาถึงปุ่มสุดท้าย Headphone Volume หรือปุ่มหรับความดังเบาสำหรับหูฟัง พร้อมกับช่องสำหรับเสียบหูฟังนั่นเอง

ในส่วนของด้านหลัง มีช่อง Monitor out ซ้ายขวา ช่อง M-Remote และช่อง USB สำหรับเชื่อต่อกับคอมพิวเตอร์นั่นเอง เรียกว่าครบครัน เหมือนกับในรุ่น STUDIO M ต่างกันแค่ตรงที่ในรุ่น STUDIO 2 นั้นช่องเสียบหูฟังนั้นเปลี่ยนจากที่อยู่ด้านหลังมาเป็นด้านหน้าแทนเท่านั้นเอง

ในกล่องก็ได้แถม สาย USB, หัวแปลงจาก 3.5 ไป Phone Jack และก็ยังแถมโปรแกรม Bitwig 8-Track เช่นเคย ในส่วนของวัสดุ เป็นเหล็กเช่นเดียวกับเจ้า STUDIO M นั่นเอง หน้าตาเรียกได้ว่าดูแข็งแรงทนทานดี ในเรื่องความซาวด์นั้นก็จะคล้ายๆกับ STUDIO M เลยครับ คิดว่าคงใช้ชิพและปรีไมค์ตัวเดียวกัน ทำให้เสียงเหมือนกันมากๆ ซึ่งเมื่อเทียบกับแบรนด์ดังๆใหญ่ก็ถือว่ายอดเยี่ยมเลยทีเดียวกับคุณภาพเสียง แต่ถ้าแค่อ่านอย่างเดียวอาจจะยังไม่เห็นภาพ ผมจึงได้นำคลิปตัวอย่างเสียงมาจากรายการ Pro Review ที่ทางร้านเคยใช้เจ้า STUDIO M และ STUDIO 2 บันทึกเสียงไว้มาให้รับชมกันดูครับ

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ หลังจากที่ได้อ่านข้อมูลความเป็นมาของแบรนด์นี้ ที่เคยเป็น OEM ให้กับบริษัทผลิตอุปกรณ์สตูดิโอยักษ์ใหญ่มาเป็นจำนวนมาก มาจนถึงการรีวิวไม่ว่าจะในส่วนของข้อมูลสเป็ค ความละเอียด ไปจนถึงวัสดุและแพคเกจจิ้ง ซึ่งในส่วนของตัวผมเองซึ่งได้อยู่กับเจ้าอินเตอร์เฟสทั้งสองรุ่นมาเป็นเวลาซักพักหนึ่ง ต้องขอบอกเลยว่า มันเป็นอินเตอร์เฟสที่คุ้มค่าคุ้มราคา ประหยัดแต่คุณภาพสูง ถ้าเป้าหมายของคุณคือการซื้ออินเอร์เฟสซักตัวเพื่อบันทึกเสียงร้องเสียงกีต้าร์สำหรับอัพลงเฟสบุ๊คหรือยูทูป ผมบอกได้ว่าเจ้า 2 ตัวนี้ตอบโจทย์เป็นอย่างมาก ทั้งความแข็งแรงของวัสดุที่ไม่เสียไม่พังง่ายๆ มีหัวแปลง 3.5 ไปเป็น Phone Jack มาให้ ซึ่งจะมีประโยชแน่นอนถ้าคุณมีหูฟังของตัวเองที่เป็นหัวแบบ 3.5 อยู่ เท่านั้นยังไม่พอ ยังแถมโปรแกรมทำเพลง Bitwig 8-Track มาให้อีกด้วย ซึ่งถึงแม้จะไม่ใช่เวอร์ชั่นเต็ม แต่ก็ดีพอที่จะใช้สำหรับบันทึกเสียงในงานทั่วๆไปได้เป็นอย่างดี

มาถึงราคาค่าตัวกันดีกว่าครับ สำหรับตัวแรก STUDIO M ราคาอยู่ที่ 2,990 ส่วนรุ่น STUDIO 2 นั้น ราคาอยู่ที่เพียง 3,990 บาทเท่านั้น เป็นอย่างไรกันบ้างหล่ะครับเมื่อเห็นราคาล่อตาล่อใจขนาดนี้ แถมยังมีโปรแกรม DAW แถมมาให้อีกด้วย เรียกว่าคุ้มค่าจริงๆครับ สำหรับใครที่มีโปรเจ็คจะอัดเพลง Cover ลง Youtube อยู่ ผมบอกได้เลยว่าเจ้าอินเตอร์เฟสสองตัวนี้จะช่วยคุณได้แน่นอนครับ

สำหรับท่านใดที่สนใจอยากสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมก็ติดต่อกันเข้ามาได้เลยนะครับไม่ว่าจะทาง Facebook, Line, Instagram หรือทางสายด่วน Hotline ของร้านเราก็โทรกันเข้ามาได้เลยครับ สุดท้ายนี้ผมคงต้องขอลาไปก่อน โอกาสหน้าจะเป็นสินค้าตัวไหน ติดตามกันได้นะครับ สวัสดีครับ


กรพัฒน์ ศรีสืบสาย  รายงาน

สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่

Tel : 081-802-5196, 02-719-2097 

เพิ่มเพื่อน

Line@ : @millionheadpro        

Facebook : millionheadpro  

Instagram : millionheadpro

สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่

Line@ : @millionheadpro
Facebook : millionheadpro
Instagram : millionheadpro